Photobucket Photobucket Photobucket Photobucket

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

2PM K-pop Boys Magazine

แปลจากนิตยสาร K-pop Boys ของญี่ปุ่นค่ะ
ขอบคุณบ้าน Allways มากค่ะที่แปลมาให้เราอ่านกัน จนยิ้มแก้มแทบปริ! 55




ถูกเรียกว่า "ไอดอลสัตว์ป่า" แต่ความจริงแล้วพวกเขาคือ "ลูกสัตว์ป่า" ผู้น่ารัก ?

สมัยเด็กๆเป็นเด็กแบบไหนกัน?

แทคยอน - ตอนที่ผมเรียนชั้นประถมที่เกาหลีผมเป็นเด็กร่าเริงกระปรี้กระเปร่าครับ แต่หลังจากย้ายไปอเมริกาผมก็กลายเป็นคนเงียบขรึมแทนเพราะยังสื่อสารไม่ได้  แต่ก็เพราะได้เรียนภาษาอังกฤษแบบเอาเป็นเอาตายจึงทำให้ไม่มีอุปสรรคในการพูดภาษาอังกฤษ และกลับมาร่าเริงสดใสอีกครั้งครับ และก็เริ่มเข้าชมรมทำกิจกรรมซึ่งแตกต่างกันไปตามฤดู โดยฤดูใบไม้ร่วงก็เล่นฟุตบอล พอหน้าหนาวกับใบไม้ผลิจึงเล่นกีฬาแบบพวกกรีฑา  นอกจากนี้ก็เคยเข้าพวกชมรมหมากรุกกับชมรมคณิตศาสตร์ด้วยครับ
จุนซู - สมกับเป็นนายเลย  ส่วนผมเป็นคนขี้อายมากๆแล้วก็เป็นเด็กหงอๆที่พอเพื่อนสนิทผมไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นแล้วล่ะก็ผมจะคุยกับเขาว่า "ทำไมไม่เล่นกับฉันแล้วไปเล่นกับหมอนั่นแทนล่ะ"  มันก็เล็กๆน้อยๆใช่มั้ยล่ะ (หัวเราะ)
จุนโฮ - ผมเป็นหัวหน้ากลุ่มบุกเวลาเล่นกันแบบจริงจัง  ในตอนนั้นยังไม่มีมือถือ ดังนั้นหลังเลิกเรียนผมก็จะไปตามบ้านเพื่อนและออกคำสั่งว่า "จะเล่นฟุตบอลกันแล้ว ขอให้ไปรวมตัวกันที่ลานกว้างด้วย~" และก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเลยน้า  ฟุตบอล เบสบอล ว่ายน้ำ ทำอาหาร เขียนโปรแกรม.. คือถ้าไม่ลองทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจทั้งหมดมันจะรู้สึกกระวนกระวายใจ  แต่ว่าตอนอยู่มัธยม 2 ผมสูงขึ้น 16 เซน และนิสัยก็เปลี่ยนไปครับ
แทคยอน - ตอนมัธยม 2 ผมก็สูงขึ้น 20 เซน!  พอย้ายไปอยู่อเมริกาอาหารการกินก็เปลี่ยน ผมคิดว่าผมเลยสูงขึ้นนะ แต่มันก็ต่างกันใช่มั้ยล่ะ~
จุนโฮ - ตอนนั้นนายไม่ปวดเข่าหรอ? ตอนผมอยู่ประถม 6 เนี่ยผมสูง 146 เซนนะแต่พอมัธยม 2 มันขึ้นไปถึง 172 เซนเลย  เพราะอย่างนั้นมีช่วงหนึ่งเลยกลายเป็นออกกำลังกายไม่ได้เลยครับ  ดังนั้นตอนอยู่ห้องเรียนเลยได้แต่ดูวิดีโอการเต้น เขียนนิยายแฟนตาซี ทำโฮมเพจ ทำเกม เขียนโปรแกรมคอมบ้าง.. กลายเป็นพวกอยู่แต่ในห้องไปเลยครับ  พอขึ้นมัธยมปลายจึงเริ่มสนใจการเต้นและกลับมาเป็นเด็กกระปรี้กระเปร่าอีกครั้งครับ
นิชคุณ - ผมอยู่ชมรมแบดมินตันและฝึกซ้อมทุกวันเพื่อเตรียมลงแข่งขันล่ะ  เพราะพ่อผมจะคอยบอกอยู่ตลอดว่า "ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์"  ดังนั้นพออายุ 9 ขวบ ผมก็เริ่มเรียนเปียโน งานศิลปะหรือภาษาอังกฤษ....  เรียนรู้อะไรหลายอย่างๆมากมายเลยครับ  เพราะผมยุ่งทุกวันก็เลยไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับการไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเท่าไหร่เลยน้า เป็นคุณพ่อที่เข้มงวดจริงๆครับ  วันธรรมดาจะไม่ค่อยให้ดูทีวีเท่าไหร่  ที่ดูได้ก็มีแค่ช่องแนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคกับรายการข่าวประมาณนี้เท่านั้น
ชานซอง - เข้มงวดจังเลยน้า ส่วนผมนี่เป็นพวกปล่อยให้รับผิดชอบเอง (หัวเราะ)  ผมนี่ยังไงก็เป็นพวกเที่ยวเล่น! เป็นเด็กที่เปลี่ยนไปจากนั้นนิดเดียวเองครับ อย่างขนาดเวลาเล่นซ่อนแอบกัน ผมก็ยังจะไปซ่อนในที่แปลกๆที่แค่คนเดียวก็ไม่มีทางหาเจอและก็ยิ้มอยู่อย่างนั้น (หัวเราะ)  หรือถ้าหิมะตกก็จะไปเล่นรถลากที่หลังเขาหรือเล่นปาหิมะบ้าง หรือขี่จักรยานไปเกมเซนเตอร์บ่อยๆด้วยล่ะครับ  ตอนผมอยู่อนุบาลจนถึงสมัยเป็นนักเรียนผมย้ายบ้านไปแล้ว 3 ครั้ง  ผมก็เลยอาจจะมีเพื่อนเล่นช่วงเป็นเด็กเป็นช่วงๆ  พอมาคิดดูผมว่าผมมีชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายตลอดเวลามากกว่าตอนนี้อีกครับ

เรื่องการเรียนก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?

ชานซอง - พูดตามตรงเพราะผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนเท่าไหร่ พอคะแนนสอบออกมาไม่ดีผมเลยไม่ค่อยใส่ใจครับ  ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าถ้าเรียนแล้วได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆมันจะดีหรือเปล่า  พ่อแม่ผมเองท่านไม่ได้บอกให้ผมตั้งใจเรียนเลยครับ  เอ๊ะ? เลิกหวังไปแล้วเหรอ? (หัวเราะ) ตอนเรียนผมก็นั่งฟังเพลงครับ  เอาสายหูฟังสอดทางชายเสื้อแขนยาว เท้าแขนขึ้นข้างหนึ่ง และก็ฟังเพลงครับ เหล่านักเรียนทั้งหลายห้ามลอกเลียนแบบนะครับ  นี่เป็นแค่เรื่องเล่าในอดีตครับ  
นิชคุณ - ตอนเรียนกับพวกผู้ชายผมก็ไม่ตั้งใจเรียนเลยครับ แต่พอตั้งแต่ย้ายที่เรียนไปเรียนแบบคละชายหญิงกันผมก็ตั้งใจเรียนมากๆเลยครับ!  เพราะต้องแบ่งเป็นชาย 1 คนต่อหญิง 6 คน ก็เลยต้องตั้งใจเรียน
จุนโฮ - มันไปกระตุ้นความภาคภูมิใจสินะ  ตอนมัธยมต้นผมเป็นพวกตั้งใจเรียนนะ  ถึงจะพูดอย่างงั้นก็เถอะแต่ผมก็เป็นพวกมุ่งมั่นก่อนสอบแค่ 1 เดือน  โดยจะช่วยกันติวกับเพื่อนและเก็งข้อสอบกันครับ  เพราะโอกาสที่จะตรงมันก็มีมาก! 
จุนซู 
- ส่วนผม การได้เข้าเรียนต่อคือถนนสายใหม่ในชีวิต  ทีเกาหลีเพื่อที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีๆผลการเรียนเป็นสิ่งสำคัญครับ  แต่เพราะระดับคะแนนของคนรอบข้างสูง ต่อให้ผมพยายามสักเท่าไหร่ผมก็ได้คะแนนไม่ดี  หลังจากนั้นผมเลยคิดว่า "การเรียนคงไม่ใช่เส้นทางของผมล่ะมั้ง" แล้วจึงเข้าบริษัท JYP ตอนอายุ 17 ปีครับ ก็ตอนเดือนตุลาคม ปี 2004 ครับ

ถ้าจะให้พูดว่าไม่มีความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันก็คงจะโกหก


จุนซูเข้ามาเป็นเด็กฝึกหัดคนแรกเลยสินะคะ

จุนซู - ผม แทคยอน นิชคุณ ชานซอง จุนโฮ อูยอง มาเป็นเด็กฝึกหัดตามลำดับครับ  คือแต่เดิมผมหลงรักการร้องเพลงมาตั้งแต่มัธยม 3 และเข้าร่วมประกวดตามงานเล็กๆบ้างครับ  แล้วพอจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายมันก็จะต้องมีงานแนะแนวการศึกษาใช่มั้ยครับ  ในตอนนั้นผมร้องเพลง I believe I can fly ของ R Kelly ครับ พอร้องแล้วทุกคนก็ชมว่าร้องเก่ง  และได้เงิน 1 หมื่นวอนจากอาจารย์ด้วยครับ  (หัวเราะ)  และก็เอาเงินนั้นไปซื้อตอกโบกกีกิน เป็นความทรงจำที่สามารถหาเงินได้ด้วยการร้องเพลงเป็นครั้งแรกครับ  และเพราะด้วยเหตุนั้นผมจึงมุ่งมั่นจะเป็นนักร้องครับ
แทคยอน - ผมใช้ชีวิตเป็นเด็กฝึกหัดประมาณ 2 ปีตั้งแต่อายุ 21 ปีครับ
อูยอง - ผมตั้งใจจะเป็นนักร้องตั้งแต่ตอนมัธยม 2 ครับ แต่ถูกคัดค้านอย่างหนักจากทั้งพ่อแม่และจากอาจารย์  ก็เลยให้เต้นได้โดยมีข้อแม้ว่าการเรียนห้ามตกครับ  ตอนม.ปลายผมเรียนหนังสือที่โรงเรียนจนถึง 5 ทุ่ม แล้วหลังจากนั้นก็ฝึกซ้อมเต้นจนถึงตี 2 - 3 ครับ  ความทรงจำตอนม.ปลายก็เลยมีแต่การเรียนเต้นอย่างเดียวเลยครับ และที่ผมเลือกเข้า JYP ก็เพราะประทับใจในรายการ Documentary ของรุ่นพี่ Rain ครับ
นิชคุณ - ผมถูกทาบทามที่อเมริกา  เจอกับสตาฟของ JYP ที่ร้านสตาร์บัคครับ  พอเจอกันในตอนนั้นจู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาเลยว่า "ลองร้องลองเต้นให้ดูหน่อย"  ในร้านกาแฟเลยนะครับ!  แล้วผมก็ต้องร้องต้องเต้นอย่างบ้าระห่ำด้วยความรุ้สึกแบบไม่รู้จะทำยังไงจริงๆครับ  คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทุกคนก็จ้องผมเขม็งเลยครับ มันแย่มากๆและคงจะตกใจกันด้วยล่ะมั้ง (หัวเราะ)  ตอนนั้นคือช่วงปี 2005  อายุ 18 ปีครับ  จากนั้น JYP ก็ติดต่อเข้ามา ให้ไปเป็นเด็กฝึกหัดจริงๆ และก็มาเกาหลีเมื่อเมษายน ปี 2006 ครับ  ผมที่ตอนเป็นเด็กเป็นเด็กขี้อาย ตอนนี้กลับได้มาร้องและเต้นต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก  คนเราเนี่ยถ้าคิดจะทำอะไรก็ทำได้แหละครับ
ชานซอง - ตอนอายุ 16 ปี ได้เข้า JYP ในฐานะนักแสดงครับ  เด็กฝึกหัดที่อยากเป็นนักแสดงก็ต้องเรียนร้องและเต้นด้วยนะครับ  แล้วตอนที่ได้เรียนอยู่นั้นก็รู้สึกว่า "การเป็นนักร้องมันก็น่าสนุกดีนะ อยากจะใช้ชีวิตในฐานะนักร้องบ้างจัง" และจึงได้เปลี่ยนเป็นเด็กฝึกหัดที่อยากจะเป็นนักร้องครับ

ที่ว่าอยากจะเป็นนักแสดงนี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายนะคะเนี่ย

ชานซอง - โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงละครเวทีครับ  ตอนนี้ผมก็จะไปดูพวกการแสดงหรือมิวสิคัลที่แทฮักโรอยู่เป็นประจำครับ  พวกการแสดงหรือมิวสิคัลมันเข้าถึงคนดูได้ไม่ใช่หรอครับ  ผมจึงประทับใจในเสน่ห์ตรงจุดนั้นครับ
จุนโฮ - ผมเองก็เคยเข้าชมรมการแสดงเหมือนกันครับ แต่พอตอนม.6 ผมสนใจด้านการร้องการเต้นมากกว่าการแสดง และพออายุ 17 ปี ผมจึงได้รับเลือกในรายการออดิชั่นที่ชื่อว่า "Superstar Survival" ครับ  เมื่อก่อนผมเป็นแฟนคลับของคุณ J.Y.Park (พักจินยอง)นะครับ ดังนั้นถ้าผมจะสังกัดค่ายไหนสักแห่งผมว่าจะเข้า JYP ตั้งแต่แรกเลยล่ะครับ  พูดถึงคุณ J.Y.Park แล้วเขาถือว่าเป็นอัจฉริยะที่สามารถผลิตงานดนตรีที่ไม่มีใครคาดคิดได้ครับ  ตรงจุดนั้นแหละที่ทำให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจครับ

ถ้าพูดถึง JYP แล้วถือเป็นค่ายที่รวบรวมบุคคลที่เป็นเลิศทั้งนั้นเลยนะคะ

จุนโฮ - ที่เกาหลีการได้เป็นแค่เด็กฝึกหัดก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้วครับ  เหนือสิ่งอื่นใดเสน่ห์มันอยู่ตรงที่มีแต่เพื่อนพ้องมากความสามารถที่จะได้รับการเจียระไนต่อไปหน่ะครับ
จุนซู - การจัดระบบในการฝึกศิลปินให้มีความรู้ความสามารถคือหลักสำคัญครับ  ถือเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่งที่สามารถรวมการฝึกซ้อมเป็นหนึ่งเดียวได้ครับ
นิชคุณ - ผมก็ชอบตรงที่ให้บรรยากาศเหมือนครอบครัวและรู้สึกอบอุ่นครับ
แทคยอน - ที่ JYP เนี่ย เมื่อได้เข้ามาแล้วจะไม่ใช่ความรู้สึกที่รุ่นพี่หรือความสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้องต้องเข้มงวดอะไรครับ  เพราะเราจะสามารถช่วยกันฝึกซ้อมได้ ดังนั้นความสามารถก็ยิ่งพัฒนาไปได้ดีเลยครับ

ในบรรดาเด็กฝึกหัดด้วยกันเคยมีความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันบ้างมั้ยคะ?

จุนโฮ - ไม่ใช่ความรู้สึกเป็นศัตรูกัน แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า "ถ้าหมอนั่นทำได้ ผมก็ต้องทำได้แน่" มากกว่าหน่ะครับ  เมื่อเราเจอเรื่องไม่ดีด้วยกันมันก็ทำให้เราเติบโตขึ้น  ถือว่าเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันมากกว่าจะเรียกว่าเป็นศัตรูกันครับ
อูยอง - ถ้าจะให้พูดว่าไม่มีความรู้สึกเป็นศัตรูกันก็คงจะเป็นเรื่องโกหกใช่มั้ยล่ะครับ  แต่ว่า เพราะเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลาดังนั้นผมว่าความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญกว่าหน่ะครับ
นิชคุณ - กรณีของผม ถ้าพูดตามตรงแล้วแทคยอนคือศัตรูของผมครับ  อายุก็เท่ากัน เรียนก็เรียนด้วยกัน  เป็นคู่ต่อสู้อันดับ 1 และก็เป็นเพื่อนสนิทอันดับ 1 ของผมครับ
จุนซู - เพื่อนสนิทของนิชคุณไม่ใช่ผมหรอกเหรอ? ฮ่าๆๆๆ  


แทคยอนกับอูยองได้รับบทนักเรียนม.ปลายที่อยากเป็นนักร้องในละครเรื่อง "ดรีมไฮ" ใช่มั้ยคะ แล้วชีวิตเด็กฝึกหัดจริงๆนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้างหรือเปล่า?


แทคยอน - เพราะในละครจะเน้นไปที่การแสดงความรู้สึกของตัวละครที่ปรากฏมากกว่าเน้นระบบการฝึกซ้อมก็เลยใช้ประสบการณ์ที่มีไม่ได้เลยล่ะครับ
อูยอง - ละครกับชีวิตจริงมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ  จะไม่มีทางวาดภาพการแข่งขันที่โดดเดี่ยวของเด็กฝึกหัดได้เลยครับ
จุนโฮ - ก่อนอื่นสมัยเป็นเด็กฝึกหัดเนี่ยไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องความรักเลยครับ  ไม่ใช่ว่าถูกห้ามแต่เป็นเพราะทุกคนจะมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกซ้อมก็เลยไม่มีเวลาว่างกันมากกว่าครับ  และยิ่งเพราะเป็นโลกสำหรับคนที่ต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่  พวกเสียสละตัวเองและปกป้องเพื่อนฝูงอะไรแบบนี้ไม่มีหรอกครับ
ชานซอง - มันไม่ใช่โลกเท่ห์ๆแบบนั้นหรอกเนอะ (ทุกคนพยักหน้า)

ถ้าพูดให้เห็นภาพแล้วคือใช้ชีวิตแบบไหนกันหรือคะ?

จุนซู - กรณีของผม ตอนอยู่ม.ปลาย พอเลิกเรียนแล้วก็ต้องไปที่สังกัดทันที ต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวดตั้งแต่ประมาณ 4 - 5 ทุ่ม โดยที่ผนังจะมีตารางเวลาแปะไว้ว่า "ตั้งแต่ 3 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม ใครมีเรียนวิชาอะไร" หน่ะครับ  เหมือนโรงเรียนเลย
นิชคุณ - นอกจากเรียนหนังสือแล้วก็ต้องไปที่สังกัดเพื่อเริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่ 8 - 9 โมงเช้าครับ
จุนโฮ - เรียนการร้องกับการเต้นเป็นหลัก และก็มีเรียนอะโครบาติคด้วยกันกับ 2AM ด้วยครับ
แทคยอน - ส่วนผมเพิ่มเรียนภาษาจีนและการแสดงเข้าไปด้วยล่ะมั้ง
นิชคุณ - อย่างผมเพิ่มภาษาเกาหลีเข้าไปด้วยอีก (T_T) ปวดหัวเลยครับ.....
จุนซู - กรณีของผมมีเรียนวิชาแรพด้วยครับ  ส่วนการแสดงไม่มีนะครับ

แล้วตัวเองเป็นคนกำหนดเองหรือเปล่าว่าต้องเรียนวิชาไหน?

จุนซู - บริษัทจะเป็นคนกำหนดให้โดยคำนึงถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของแต่ละคนครับ

นิชคุณที่บ้านเกิดอยู่ไทยล่ะ ไม่ตกใจกับความเข้มงวดกวดขันที่มากมายขนาดนี้เหรอ?

นิชคุณ - นั่นสินะครับ  ผมว่าผมได้มาอยู่ในสถานที่ที่สุดยอดมาก

แล้วที่ไทยมีระบบเด็กฝึกหัดหรือเปล่าคะ?

นิชคุณ - อืม~ (คิดอยู่อย่างงี้สักพักเลย) ถึงจะมีแต่ก็คงไม่ได้ฝึกเท่าที่เกาหลีล่ะครับ  คือที่ไทยเนี่ยจะเหมือนกับแวดวงดนตรีของญี่ปุ่น เป็นระบบที่ว่าพอเดบิวท์แล้วถึงจะทำให้ประสบความสำเร็จหน่ะครับ  แต่เดิมนักร้องเต้นจะไม่ค่อยมีครับ  ที่ไทยจะเป็นดนตรีแบบเล่นเป็นวงมากมายครับ  โดยปกติแล้วจะเป็นแบบสั่งสมประสบการณ์ในการแสดงไลฟ์หรืออินดี้ส์ก่อนแล้วถึงได้เดบิวท์ครับ

ความทรงจำที่ลำบากมากที่สุดตอนเป็นเด็กฝึกหัดคือ?

จุนซู - "สอบวัดผลสิ้นเดือน!"  คือต้องแสดงผลของการเต้นและร้องเพลงใน 1 เดือนให้ทางสตาฟดูครับ  แล้วพอการทดสอบเสร็จสิ้นลงก็จะได้รับโทรศัพท์จากคุณ J.Y.Park เพื่อฟังผลและคำแนะนำครับ  อันนั้นมันน่ากลัวมากๆ.......
นิชคุณ - อย่างผมก็มีเรียนภาษาจีนกับเกาหลีด้วย เลยยิ่งลำบากมากเลยครับ! 

เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดคำว่า "ไอดอลสัตว์ป่า"คือ?

ทุกคนคงมีความรู้สึกตราตรึงใจที่ได้ยืนอยู่บนผืนแผ่นดิน(อารมณ์ประมาณว่าได้เกิดมาบนโลกใบนี้ประมาณนี้อ่ะค่ะ)  แล้วทางด้านจิตใจอย่างเช่นการเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจในฐานะนักร้องอะไรแบบนี้ล่ะต้องเรียนด้วยหรือเปล่าคะ?
ชานซอง - ก็ไม่ได้มีชั่วโมงเรียนเป็นพิเศษหรอกครับ  แต่เวลาที่คุยกับคุณ J.Y.Park ผมจะได้เรียนรู้อย่างเช่นความคิดต่อดนตรีและธรรมชาติหรือสิ่งที่ควรมีในการเป็นนักร้องครับ


ตอนเป็นเด็กฝึกหัด สมาชิกที่เคยคิดว่า "หมอนี่น่ากลัว" คือ?

ชานซอง - จุนซู! ตอนที่วัดผลสิ้นเดือนเขาจะเป็นคนยกมือก่อนตลอด  ร้องเพลงก็เก่ง  ทำอะไรก็มีสไตล์แม้กระทั่งทรงผมก็เป๊ะๆ ดูโดดเด่นมากเลยครับ  ใจดีกับผมที่เพิ่งพบกันครั้งแรกด้วย  ผมเลยคิดว่า "แย่ล่ะ เท่ห์ว่ะ"
แทคยอน - ผมก็คิดว่าจุนซูนะ  แม้แต่ตอนนี้ที่จำได้แม่นเลยก็คือตอนวันสอบวัดผลสิ้นเดือนที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกตอนผมเป็นเด็กฝึกหัด   พอผมได้ดูจุนซูร้องเพลง "Flower" แล้วผมก็คิดเลยครับว่า "นี่ผมได้ฝึกซ้อมด้วยกันกับคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยหรอเนี่ย?"

จุนซู - (ดูท่าจะดีใจ) เจ้าพวกนี้นี่~~~~~~~♪ ขอบใจมาก!
จุนโฮ - ถ้าให้พูดถึงความประทับใจแรก จุนซูเขาจะมีออร่าของความเป็นคาริสม่าล่ะ  แทคยอนให้ความรู้สึกแบบลูกพี่มั้ง?  ชานซองให้อิมเมจเท่ห์ๆและเงียบขรึม อูยองดูเหมือนลอยๆ  แต่อันที่จริงชานซองหน่ะแหละที่ดูเหม่อลอย (หัวเราะ)  อูยองเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและแน่วแน่กว่าหน้าตาภายนอกครับ
อูยอง - ที่ยังทำให้ผมประทับใจอยู่ก็คือแทคยอน  ก็อย่างที่เห็นเพราะเขาสูง ดังนั้นแค่อยู่เฉยๆก็เด่นแล้วครับ  วันแรกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นเด็กฝึกหัด พอผมเงยหน้ามองแทคยอนและพูดไปว่า "ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" เขาก็ยิ้มและพูดกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ว่า "เออ"  มันทำให้ความรู้สึกที่ตึงเครียดคลายลงได้ครับ
แทคยอน - ใช่ๆ ก็มีเรื่องประมาณนั้นเหมือนกันนะ ผมเนี่ย (หัวเราะ)

พอได้พูดคุยกันแบบนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนเด็กผู้ชายอายุช่วง 20 ต้นๆที่ซุกซน ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นชายของสัตว์ป่าเลยนะคะ ถ้างั้นแต่เดิมคำว่า "ชิมซึงดอล (ไอดอลสัตว์ป่า)" เนี่ยเกิดมาได้อย่างไรคะ?

จุนโฮ - ครั้งแรกมันเกิดมาจากท่าทางที่เหมือนกับสัตว์ป่าในตอนที่พวกผมไปออกรายการเรียลวาไรตี้ที่ชื่อว่า "ตอดตา คือนยอ (idol show)" ครับ  ก็คือหมายถึง "ลูกสัตว์ป่า" หรือ "เจ้าพวกไม่อยู่กับที่" ที่วิ่งเล่นไปนู้นไปนี่ตามใจชอบ  ช่วงนั้นคือช่วงเพลง "I hate you" เราต้องทำการแสดงให้เหมือนกับมีพลังแข็งแกร่งราวกับสัตว์ผู้ล่า  ถึงมันจะหมายถึงความดิบเถื่อนแต่เราก็ได้วางอิมเมจความเป็น "ไอดอลสัตว์ป่า" ไว้จนกระทั่งถึงตอนนี้ครับ

คิดอย่างไรที่ถูกเรียกว่า "ไอดอลสัตว์ป่า" คะ?

นิชคุณ - พูดง่ายๆก็ต้องรู้สึกดีใจสิครับ  มันเป็นความภาคภูมิใจที่คำว่า "ไอดอลสัตว์ป่า" ถูกสร้างมาเพื่อ 2PM แต่ความจริงแล้วพวกผมอาจจะเป็น "ลูกสัตว์ป่า" ผู้น่ารักมากกว่าดิบเถื่อนก็ได้นะ~?

ต้องผ่านรายการเรียลวาไรตี้ที่ชื่อว่า "Hot blood guys" ก่อนถึงจะได้เป็นสมาชิกของ  2PM ใช่มั้ย  ถ้างั้นช่วยบอกมาตามตรงว่าเคยคิดที่ได้เดบิวท์เป็นสมาชิกวงนี้บ้างมั้ย?

จุนซู - ไม่เคยเลย! เพราะ  2PM และ 2AM อาศัยอยู่ด้วยกันก็เลยไม่รู้ครับว่าใครกับใครจะได้อยู่วงเดียวกันบ้าง  เพราะมันก็มีความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะได้อยู่วงเดียวกัน
นิชคุณ - ผมเคยจินตนาการว่าจะได้อยู่วงเดียวกับแทคยอนครับ  ส่วนจุนโฮได้เรียนคนละวิชากับผม แม้แต่ตอนถ่ายทำรายการ  "Hot blood guys" เราก็ยังไม่รู้จักกัน ดังนั้นพอได้มาอยู่วงเดียวกันเลยรู้สึกตกใจครับ

อยู่ค่ายเดียวกับ 2AM ก็คงเคยคิดเรื่องร้องเพลงบัลลาดเป็นหลักด้วยใช่มั้ยคะ?


จุนโฮ - นั่นสินะครับ บอกตามตรงไม่ว่าจะเป็น 2AM หรือ 2PM วงไหนก็ได้หมดครับ  ถึงจะพูดว่าเน้นบัลลาดเป็นหลักแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเต้นให้ดูเลย  ความจริงแล้ว 2AM เองก็ร้องเพลงที่เน้นการเต้นเป็นหลักอย่าง "I Did Wrong" ได้เหมือนกันครับ  สมาชิกคนอื่นๆก็คงรู้สึกแบบเดียวกันนะ

เคยคบครั้งแรกตอนป.1 !? 

ฤดูหนาวที่ผ่านมานี้ ที่เกาหลีความรักระหว่างเจสัน(อูยอง) และพิลซุก(IU) จากละครเรื่อง "ดรีมไฮ" โด่งดังในฐานะอูยูคอพเพิล(อูยอง + IU) เป็นอย่างมากเลยค่ะ


อูยอง - ไปดักอยู่ด้านหน้าแล้วคอยปิดเปิดประตู  อาจจะเรียกว่าสุภาพบุรุษเจสันสำหรับใครหลายๆคน แต่จากที่ผมมองผมว่าเจ้าชู้  อาจจะเพราะมารยาทก็จริงแต่ผมว่านั่นมันไม่มากไปหน่อยเหรอ (หัวเราะ) ผมทำไม่ได้ขนาดนั้นหรอกครับ  ถ้าผมชอบใครผมจะเป็นพวกเด็ดเดี่ยว  ผมจะมองแต่เธอคนเดียวและทำแบบนั้นได้แต่กับเธอคนเดียวครับ  มีนิสัยเด็ดเดี่ยวไม่ว่ากับอะไรก็เหมือนกัน  อย่างเช่นตอนเป็นเด็ก ผมรักการเลี้ยงสัตว์ จนขนาดไม่เป็นอันเรียนเลยก็มีครับ

เจสันเริ่มหลงเสนห์ของพิลซุกขึ้นเรื่อยๆเลย  ถ้างั้นทุกคนเป็นประเภทพัฒนาจากเพื่อนเป็นคนรัก? หรือประเภทปิ๊งรักคนอื่นคะ?

อูยอง - กรณีของผม ผมจะตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบในระหว่างที่เราพูดคุยกันมากกว่าครับ
แทคยอน - ผมก็เหมือนกับอูยองล่ะมั้ง
ชานซอง - รู้สึกว่าผมจะมีทั้งคู่ครับ  แต่อาจจะให้ความสำคัญกับแรงบันดาลใจในตอนแรกพบมากกว่า
จุนโฮ - ผมเป็นพวกปิ๊งรักอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) ถึงจะพูดว่าปิ๊งแต่ส่วนใหญ่จะปิ๊งในบรรยากาศโดยรวมมากกว่าลุคส์ภายนอกครับ  อีกอย่างก็คนที่คุยถูกคอกัน....   ผมเนี่ยจับสัญญาณอะไรแบบนั้นได้อย่างน่าประหลาดเลยนะครับ ถ้าผมรู้สึกว่า "เหมือนจะเข้ากันได้กับผู้หญิงคนนั้นนะ" ส่วนใหญ่เราก็จะเข้ากันได้

แทคยอน - ขอเสาจับสัญญาณแบบนั้นหน่อยสิ (หัวเราะ)  อย่างผมถ้าชอบใครผมจะเชื่อเค้า แล้วก็ถูกหักหลัง  และก็จะรู้สึกเจ็บ  ก็เลยปิดหัวใจตัวเอง แต่ถ้าเจอคนดีอีกก็จะเปิดใจ แล้วก็ถูกหักหลังอีก....  เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยครับ (T_T)
อูยอง - ไม่มีเสป็คภายนอกบ้างเหรอ? ถ้างั้นชอบคนแบบไหน?
แทคยอน - มันก็ไม่มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษหรอกนะ...  คนที่มีด้านที่เข้มแข็งแต่ก็มีความอ่อนโยนดูแลเอาใส่ใจผมเป็นบางครั้งก็ท่าจะดีนะ~

แบบแข็งนอกอ่อนใน (อารมณ์ประมาณว่าเมื่อแรกเริ่มจะไม่เป็นมิตร ดูเย็นชา แต่ภายหลังกลับเปลี่ยนเป็น อ่อนไหว อ่อนหวานค่ะ) สินะคะ?

แทคยอน - ....จะเป็นก็ได้ล่ะมั้ง  แต่ก็ไม่ใช่ประเภทเหมือนฮเยมี (นางเอกในเรื่อง"ดรีมไฮ")นะ....  ฮเยมีหน่ะเข้มแข็งก็จริงแต่เพราะไม่ได้มีใจให้ผม (หัวเราะ)  ถ้าให้พูดตรงๆ ตอนที่ผมรับบทเป็นจินกุกผมยังเคยคิดเลยครับว่า "ทำไมถึงได้ชอบฮเยมีนะ?" แต่ก็เพราะอยากมีอารมณ์ร่วมในตอนแแสดง ดังนั้นตอนแสดงก็คิดไปด้วยว่า "ดูผิวเผินถึงจะแก่แดดแต่ก็เป็นคนดีที่ในใจลึกๆแล้วมีจิตใจที่อบอุ่นนะ  เป็นคนที่มีเสน่ห์นะ"

เพราะฮเยมีเป็นรักแรกของจินกุกสินะคะ  ก็ต้องมีเสน่ห์แน่เลย  ถือโอกาสที่พูดเรื่องรักครั้งแรกออกมาแล้ว (หัวเราะ) เราอยากฟังเรื่องรักครั้งแรกของทุกคนบ้างค่ะ

แทคยอน - ช่วง ป.1 ตอนที่สัญญากันไว้ว่า "ฉันชอบนาย" "ฉันก็ชอบเธอนะ" "งั้นเรามาคบกัน" นั่นคือครั้งแรก
อูยอง - ไม่เร็วไปหน่อยหรอ?
แทคยอน - เอ๊ะ? อย่างนั้นเหรอ?  แต่ก็แค่กลับจากโรงเรียนโดยไม่ได้จับมือกัน ไปทานไอศกรีมด้วยกัน.... อารมณ์ประมาณนั้นเองนะ
อูยอง - ส่วนผมคือตอนป.4  เราคิดเหมือนกันแต่ไม่เคยพูดมันออกมาทั้งคู่
นิชคุณ - ถึงอย่างนั้น แล้วรู้ได้ไงว่าคิดเหมือนกัน?
อูยอง - อยากจะจับมือเธอ ตอนช่วงคาบเรียนพละก็เลยพูดเล่นๆไปครับ ตอนแรกก็พูดแบบ "เราไปทางนู้นกันเถอะ~"  "ไปทางนั้นจะดีเหรอ~" แต่พอได้จับมือก็จับกันแน่นแบบไม่หลุดจากกันเลย
จุนซู  - เฮ้ยยยยย! เป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้เลยนะครับเนี่ย!
จุนโฮ - ตอนที่ผมสนใจเพศตรงข้ามครั้งแรกก็คือตอนประถม  ป.6 ล่ะมั้ง ผมชอบเพื่อนร่วมชั้นเรียนซึ่งตัวเล็กกว่าผมและอวบเล็กน้อย และก็สารภาพรักว่า "คบกันมั้ย?" ที่สวนสาธารณะครับ  เธอตอบมาว่าโอเคก็จริง แต่พอวันถัดมาก็เริ่มรู้สึกตัวและก็พูดไม่ออกครับ ทุกๆวันในช่วงคาบเรียนก็เลยเขียนจดหมายฝากไปให้เกือบทุกคาบ  มันก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆหลายเดือนเลย แต่เพราะเขียนแค่จดหมาย คุยก็ไม่คุย โทรศัพท์ก็ไม่โทร ก็เลยค่อยๆเลิกกันไปเองครับ
ชานซอง - ทุกคนไวไฟกันจังนะ อย่างผมเนี่ยตอนช่วงประถมไม่เคยคิดเรื่องผู้หญิงเลยล่ะ....  รู้สึกจะคิดแต่เรื่องออกกำลังกายล่ะมั้ง  รักแรกของผมเกิดขึ้นตอนม.ต้น  เป็นผู้หญิงที่ไปเรียนเทควอนโดด้วยกัน แต่ก็แค่ไปเรียนด้วยกันแค่นั้นครับ

ใสซื่อจังเลยนะคะ แล้วจริงๆทุกคนเนื้อหอมหรือเปล่าเอ่ย?

จุนโฮ - ตอนม.3 ผมเคยถูกจู่โจมอย่างร้อนแรงจากรุ่นน้องที่อ่อนกว่าปีนึงครับ  โทรมานี่แน่นอน แล้วก็เอาช็อกโกแลตมาวางบนโต๊ะเรียนบ้าง ใส่จดหมายไว้ในตู้ไปรษณีย์ที่บ้านบ้าง
อูยอง - ตอนเด็กๆพวกที่เล่นบาสจะเป็นที่นิยมไม่ใช่เหรอ? แต่ที่ผมไม่มีความทรงจำว่าตัวเองเนื้อหอมก็เพราะผมเล่นฟุตบอลไง (หัวเราะ)
ชานซอง - วันนึงผมเคยได้รับจดหมายจากคน 4-5 คน ถ้าเป็นไปตามทฤษฎีของอูยอง ที่ผมเนื้อหอมก็คงเพราะเล่นบาสก็ได้นะ (ทำท่าเหมือนบ่นพึมพำ)
คงจะทำผู้หญิงร้องไห้บ่อยเลยใช่มั้ยคะ?

นิชคุณ - ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกนะครับ~ เพราะผมซื่อสัตย์ครับ
จุนโฮ - ถึงพวกผมหรือผู้ชายทั่วไปจะซื่อสัตย์แต่ก็คงเคยทำให้ร้องไห้บ้างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?  อย่างเช่นคนที่ร้องไห้ไม่หยุดโดยไม่พูดอะไรเลย บางทีคงจะรู้สึกว่า "ถึงไม่พูดก็เข้าใจใช่มั้ย?" ....ไม่เข้าใจหรอกนะ~! ผู้ชายหน่ะไม่เข้าใจหรอกนะครับ  ดังนั้นทุกคน! ยังไงก็ช่วยพูดกับแฟนให้ชัดๆไปเลยเถอะครับว่าร้องไห้ทำไม เศร้าทำไม โกรธอะไร ทำไมถึงต้องการ ผมขอร้องแทนผู้ชายทั่วโลกนะครับ!
แทคยอน - ผู้ชายแพ้น้ำตาผู้หญิงนะครับ ผู้ชายเป็นเหมือนกันทั่วโลกเลย (ทุกคนพยักหน้า)
ชานซอง - แพ้น้ำตาผู้หญิงครับ น้ำตาเป็นสิ่งที่โหดร้ายจริงๆครับ! เพราะผู้ชายแพ้น้ำตา...
นิชคุณ - ถ้าผู้หญิงทำให้ผมร้องไห้ถือว่าร้ายแรงจริงๆ~ (T_T)

น้ำตาของผู้หญิงหน่ะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเหงานะคะ ไม่ค่อยได้เจอกันบ้างเลยสินะ...

จุนโฮ - ผมเป็นประเภทที่อยากจะติดต่อ อยากจะไปเดทบ่อยๆ ถ้ามีเวลาว่างก็ยกให้เธอทั้งหมดครับ ชานซองก็เหมือนกันล่ะมั้ง เพราะถ้าได้คุยกันเราก็จะเข้าใจกัน
ชานซอง - (พยักหน้าเห็นด้วย)  

ที่เกาหลีต้องโทรหากันทุกวันมากกว่าวันละ 1 ครั้ง อาทิตย์นึงก็ต้องเจอกันหลายๆครั้ง การคบกันแบบนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาใช่มั้ยคะ แต่ที่ญี่ปุ่นแม้จะเป็นแฟนกันส่วนใหญ่ก็คบกันไม่บ่อยกว่านี้นะคะ

อูยอง - จริงหรอ!? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด~ แล้วไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรอยู่บ้างหรอ?  ถ้าเป็นที่เกาหลีแค่ไม่ติดต่อกันวันเดียวก็ทะเลาะกันได้ครับ
จุนโฮ - ผมก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  แต่ถ้าลองคิดดู แบบญี่ปุ่นก็อาจจะไม่ได้แย่นะ  พอเริ่มทำงานความคิดเกี่ยวกับมุมมองด้านความรักก็เปลี่ยนไปครับ  ตอนเป็นนักเรียน ยังไงคนที่อยู่กับเราได้ตลอดเวลาก็จะดีครับ แต่ตอนนี้เริ่มคิดว่าคนทีประสบความสำเร็จไปด้วยพร้อมๆกันก็น่าจะดี  หรือคนที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันละกันได้ก็ดี  เพราะคนๆเดียวก็สามารถทำได้ แค่อยู่ด้วยกันมันไม่ใช่ความรักหรอก  แบบญี่ปุ่นดูเหมือนจะทำให้อยู่กันยืดยาวมากกว่าอีกครับ
ชานซอง - แต่ผมว่ายังไงก็อยากเจอกันทุกวันนะ ไม่ใช่ว่าเพราะทำอะไรอยู่หรอก แต่แค่ได้อยู่ด้วยกันมันก็รู้สึกวางใจหน่ะ
แทคยอน - ส่วนผม ถึงจะพบหรือไม่ได้พบ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็ OK ครับ~!  เพียงแต่ห้ามทำให้ผมเจ็บปวด!! ถ้าทำให้ผมเจ็บปวดล่ะก็.... ฮือ~ฮือ~ (ทำท่าร้องไห้)
จุนซู - นายนี่ คงจะเจ็บมามากล่ะสิ? (หัวเราะ)
นิชคุณ - ขอให้มีแต่รักดีๆเข้ามาหาไม่ว่าจะแทคยอน หรือพวกผมทีเถอะ!
Jap - thai : namhom@2pmalways 
ขอบคุณบ้าน 2pmallways มากๆค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น